Slideshow

วันอังคารที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2566

ผีโปร่ง ตำนานผีกินคน

 ตำนานผีโปร่ง

ผีโปร่ง มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับมนุษย์ทั่วไป แต่ผมเผ้ารุงรัง กระเซอะกระเซิง ในตาแดงก่ำ ดวงตาเบิกกว้าง ฟันแหลมคม เล็บมือยาวแหลม ดูแล้วไม่เป็นมิตรกับมนุษย์ซักเท่าไร ผีโปร่งจำพวกนี้มักสิงสถิต อยู่ณ ที่ใดที่หนึ่ง สันนิษฐาน อาจจะตาย ณ ที่แห่งนั่นด้วยความอาฆาตแค้น พยาบาท มีจิตใจที่ผิดปกติ หรืออาจจะเฝ้าสมบัติ ของตน ณ ที่แห่งนั่น ด้วยจิตใจที่ยึดติด และไม่ปล่อยว่าง จึงทำให้ดวงจิตนั่น ยังอยู่ในวัฏสงสาร เฝ้าอยู่ณ สถานที่แห่งนั่นไม่ไปไหน 

เรื่องเล่านี้เกิดจากเรื่องจริง ณ จังหวัดพิจิตร ตำนานผีโปร่ง 

เป็นเรื่องที่เกิดจากครอบครัวแอดมินเอง มีเหตุการณ์ครั้งหนึ่งก่อนเกิดเหตุ เมื่อสมัยตาแดงยังมีชีวิตอยู่ ได้ปลูกบ้านไว้บริเวรที่นาของตนเอง และอาศัยอยู่ตั้งแต่หนุ่มจนแก่ มีอยู่วันหนึ่งนึกอยากจะปลูกบ้านพักอีกหลังบริเวรแถวที่นาของตน โดยเริ่มตัดไม้ ก่อสร้างเองทุกขั้นตอน จนก่อสร้างสำเร็จก็ได้พายายเคลือไปพักอยู่กับตน ณ คือนั่นก็เกิดเหตุจู่ๆก็เกิดอาการป่วย หมดสติขึ้นมากระทันหัน ลูกๆจึงรีบพาตาแดงเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล คุณหมอวินิจฉัย เป็นอัมพาตครึ่งซีก รักษาที่โรงพยาบาลระยะหนึ่ง จึงได้ให้ลูกๆพารักษาต่อที่บ้านได้ แต่เมื่อรักษาอยู่ที่บ้านระยะหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์ผิดปกติกับตา กลางวันร่างกายของตาจะไม่ค่อยมีแรง ทานอะไรก็ไม่ค่อยได้ แต่พอตกกลางคืน ก็มักจะเรียกร้องอาหารอยู่ตลอดเวลา มีกำลังดีขึ้น มีเรี่ยวแรงในการยกแขนยกขา ต่างจากช่วงกลางวันมาก มีอาการแลบลิ้น ปลิ้นตา เป็นบางครั้ง เมื่อพาไปหาหมอ ก็ไม่สามารถรักษาอาการนี้ได้ เข้าวัดไปหาพระ ก็ยังไม่สามารถแก้ได้ เมื่อพาไปตามสำนักต่างๆก็ยังไม่มีใครสามารถช่วยได้ จนกระทั่งมีอาจารย์จากสำนักเชียงใหม่ เจ้าปู่ผญาวัฒแสนคำ มาช่วยแก้ไข จึงได้รู้ว่าผีที่แฝงอยู่ในร่างของตานั่นคือผีโปร่ง มีอยู่ 7 ตน คือผีโปร่งผัว(ผีผู้ชาย) ผีโปร่งเมีย(ผีผู้หญิง) และลูกอีก 5 ตนทั้งหญิง ชาย อยู่เข้าไปแฝงในร่างของตาแดง สลับกันไปมา โดยจะเริ่มกัดกินลำไส้ เครื่องในร่างกายของเราให้ได้รับความเสียหาย สะกดจิต จิตใจของเราให้รู้สึกเศร้าหม่อง หดหู่ หากร่างที่แฝงนั้นตายไป ก็จะเขาไปแฝงร่างใหม่ต่อไป.....



วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2556

ตำนาน ผู้เสียสละ เจดีย์กิ่ว


ตำนานล้านนา "เรื่องตำนานเจดีย์กิ่ว"

เจดีย์สีขาว ไม่ได้ตั้งอยู่ในวัด แต่ตั้งอยู่กลางถนน เป็นวงเวียนให้รถวนรอบ ตั้งอยู่ที่บริเวณด้านหน้าของเทศบาลนครเชียงใหม่ ใกล้กับสถานกงศุลอเมริกา อีกด้านหนึ่งอยู่ติดกับแม่น้ำปิงซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักของเชียงใหม่ เจดีย์ขาว.....หรือที่ชาวเขียงใหม่เรียก "เจดีย์กิ่ว" สร้างแต่สมัยไหนไม่มีใครทราบ แต่มีตำนานเล่าไว้ว่า

วันพุธที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2556

เรื่องเล่า ผีโพง

ผีโพง ภาคเหนือบ้างก็เรียก “ผีโพลง” “ผีโพรง” จะมีลักษณะเหมือนคนธรรมดา มีดวงไฟตรงจมูก ชอบกินกบกินเขียด ส่วนภาคอีสานและภาคกลางนั้นจะเรียก “ผีกระสือ” ลักษณะจะคล้ายๆกัน ผีกระสือที่คนส่วนใหญ่นั้นจะคิดว่าจะมีแต่หัว และมีไส้ แต่ไม่มีตัว ชอบกินของคาว

ผีโพงมักจะออกหากินในคืนที่ฝนตกพรำๆ ถ้ามองไกลๆจะเห็นเป็นดวงไฟลอยไปลอยมาในคืนมืดสลัว อากาศเย็นๆยามฝนตก เวลาออกหาเหยื่อลูกไฟตรงจมูกนั้นก็จะหยดลงมา เหมือนน้ำมูกหยดเป็นลูกไฟ เดี๋ยวดวงไฟก็โผล่ตรงนั้น แล้วก็โผล่อีกที่หนึ่ง ถ้าเราลองเดินไปตามดวงไฟที่เคยโผล่นั้นจะพบว่ามีกบ เขียดนอนตายอยู่ตรงขันนาเต็มไปหมด แต่ที่สิ่งที่ทำให้คนๆนั้นต้องกล้ายเป็นผีโพงนั้น เพราะชาติที่แล้วเคยทำเวรทำกรรมมามาก ชาตินี้จึงต้องกล้ายเป็นผีโพง หากบหาเขียดกินประทังชีวิต ถ้ามีกลุ่มคนไปเห็น คนในกลุ่มนั้นเห็นผีโพง แล้วชี้ให้เพื่อนดูเพื่อนก็จะไม่เห็น เป็นเรื่องที่แปลกเหมือนกัน แต่ถ้าบังเอิญไปเจอกับคนรู้จักเข้าจริงๆจังๆ ผีโพงก็จะอ้อนวอน ไหว้ขอไม่ให้เปิดเผยเรื่องของตน ให้เก็บไว้เป็นความลับ เพราะมันเป็นเรื่องน่าอับอาย ผีโพงก็จะเสกใบไม้เป็นทองคำ เพื่อเป็นค่าปิดปากไม่ให้เราพูดและเปิดเผยเรื่องของผีโพง

มีตำนานเล่าว่าผีโพงนั้นมักจะเป็นผู้ชาย เวลาจะออกไปหากินก็จะวางหมอนข้างแล้วใช้ผ้าห่มคลุม เพื่อไม่ให้ลูกเมียสงสัย ผีโพงบางตัวเวลาออกไปหากินก็มักจะสะพายดาบไปด้วย ถ้าโดนจับได้หรือไปพบเห็นคนรู้จักเข้าก็มักจะไปทำร้ายคนที่พบเห็น แต่ถ้าคนๆนั้นยอมที่จะปิดปากไม่เปิดเผยให้ใคร ผีโพงก็จะเสกใบไม้เป็นทองเพื่อผิดปาก แต่ถ้าวันใดวันหนึ่งคนๆนั้นเปิดเผยเรื่องของผีโพง ผีโพงก็จะแค้น แล้วกลับมาทำร้ายจนถึงตายได้ อาจจะเอาก้านกล้วยพุ่งข้ามบ้าน ทำให้คนในบ้านนั้นตาย หรือเอาก้านกล้วยพุ่งใส่อกจนคนๆนั้นเสียชีวิตได้

สำหรับผีโพงนั้น จัดอยู่ในตระกูลเดียวกับ ผีกะ ผีปอบ แต่สิ่งเหล่านี้ก็เรือนหายไปกับเทคโนโลยีและสังคมใหม่ๆที่พัฒนาขึ้น คงมีน้อยคนนักที่จะเห็นผีโพง

วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ผีย่าหม้อนึ่ง แบบ แกว่งข้าว

ผีย่าหม้อนึ่ง  คือ  ผีี่ที่สิงสถิตอยู่ในหม้อนึ่ง ไหข้าว  เตาไฟ  เมื่อมีการทำพิธี  สามารถทำนายทายทักให้กับผู้ที่มาทำพิธีได้รู้ถึงสาเหตุที่อยากรู้ได้

ประเภทของผีย่าหม้อนึ่ง  มีอยู่  2  ประเภทคือ  :
  1. ผีย่าหม้อนึ่ง แบบ  แกว่งข้าว
  2. ผีย่าหม้อนึ่ง แบบ  แกว่งไหข้าว

วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2556

หวานตู้ ว่านป้องกันคนมาทำไสยศาสตร์ใส่

หวานตู้  คือ  ว่าน  ที่อยู่ในป่าดงดิบชนิดหนึ่ง  ภาษาเหนือเรียนว่านหวานตู้  แต่ไม่ทราบว่าภาษากลางเรียกว่าอะไร  ลักษณะของว่านหวานตู้จะเป็นใบสีขาว

สรรพคุณ  :  เป็นว่านที่จะป้องกันคนมาทำไสยศาสตร์ใส่เรา  หรือเล่นของใส่เรา  ถ้าคนที่คิดร้ายกับเรากำลังจะเล่นของใส่เรา  เราก็จะไม่โดนของ  แต่ของนั้นจะสะท้อนกลับไปหาตัวคนที่ทำของใส่เรา  การเก็บว่านหวานตู้นี้  จะเก็บเฉพาะวันอังคาร  ช่วงเวลาใดก็ได้  สาเหตุที่เก็บได้เฉพาะวันอังคารนั้น  คนเหนือถือว่าวันอังคารนั้นเป็นวันแรง  จะมีพลังแกร่งกล้ามากกว่าวันอื่นๆ  สามารถต่อสู้ต้านทานกับอำนาจชั่วร้ายได้  สำหรับการทานว่านหวานตู้  จะทานแต่ส่วนหัวของว่าน  ถ้าทานส่วนอื่นจะไม่ได้ผล


* สำหรับคนที่โดนทำของใส่แล้วกินไม่ได้  เพราะถ้ากินแล้วจะสติแตก  หรือเป็นบ้าไปเลยทีเดียว



แหล่งข้อมูลจาก ชาวบ้านตำบลแม่นาวาง อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่

วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555

จุติ อสุรกาย ผีลิง

ลักษณะ  :  รูปร่างเป็นลิง  มีขนตามลำตัวสีน้ำตาล  มีหางมีความยาวมากกว่าลำตัว มีนิ้วมือ นิ้วเท้าข้างละ 5 นิ้ว ลักษณะคล้ายกับนิ้วมือคน แต่จะยาวกว่า 
เรื่องเล่า  : สมัยก่อน  อุ๊ยแดง  (อุ๊ย หมายถึง ผู้เฒ่าผู้แก่  หรือ  ปู่  ย่า  ตา  ยาย  คนเหนือจะเรียก  "อุ๊ย"  หมดทุกคน)  ได้ไปออกล่าสัตว์ในป่ากับเพื่อน  เมื่อเดินลึกเข้าไปในปาแถวหมู่บ้าน  ก็ได้ไปเจอกับลิงตัว

วันเสาร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

พลังจิตพญานาค ถ้ำเชียงดาว

ลักษณะ  :  รูปร่างเป็นเหมือนงู  ลำตัวยาวใหญ่  ส่วนหัวจะมีหงอนสีทอง  ตาสีแดง  ลำตัวจะเป็นเกล็ดเหมือนเกล็ดปลา  สีของลำตัวและเกล็ดก็จะแตกต่างกันไปแล้วแต่บารมีที่นาคแต่ละตัวสะสมไว้  คือ  สีดำ  สีเขียว  หรือมี 7 สีอยู่ในตัวเดียว  เศียรตรงส่วนหัวของพญานาคแต่ละตัวก็จะบ่งบอกถึงตระกูลนาค  ถ้ามีเศียรเดียวจะเป็นตระกูลธรรมดา  ถ้ามีเศียรเพิ่งขึ้นก็จะเป็นตระกูลที่สูงขึ้นตามลำดับของเศียร  เช่นมี  3 เศียร  ,  5 เศียร  ,  7 เศียร  ,  9 เศียร
เรื่องเล่า  
            จากเรื่องเล่าในหนังสือ  "ตามรอยพระอริยเจ้า  หลวงปู่แหวน  สุจิณโณ"  กล่าวไว้ว่า อำเภอเชียงดาว  มีถ้ำแห่งหนึ่งที่มีพญานาคเฝ้าอยู่  ถ้ำดังกล่าวนั้นแยกขึ้นไปทางซ้ายมือ  อยู่เหนือถ้ำหลวงเพียงเล็กน้อย  พื้นถ้ำมีก้อนหินเป็นรูปกงจักรและมีพญานาคเฝ้าอยู่ใต้แผ่นหินก้อนนั้น  
            เวลามีพระหรือกัมมัฏฐานเข้าไปภาวนาในถ้ำแห่งนั้น  พญานาคก็จะคอยจ้องจับผิดเสมอ  หากมีการกระดุกกระดิกตัวเป็นต้องถูกพญานาคตำหนิทั้งที  "สมณะอะไร  ช่างไม่สำรวม  คะนองกายเหมือนเด็กๆ"  ถ้าเดินสะดุดก้อนหินดังกรอกแกรก  กรอกแกรก  พญานาคก็จะกล่าวโทษว่า  "สมณะอะไร  จะเดิน