Slideshow

วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

อสุรกาย


ลักษณะ  :  รูปร่างประหลาด  ตัวดำมะเมื่อม  สูงราว  7  ศอก  มีขนยาวรุงรังคล้ายลิงยักษ์  แต่หน้าคล้ายวัวควาย  ตาโปน  มือสองข้างยาวลากพื้นดิน  เสียงร้องโหยหวน  เสียงกรีดแหลมเยือกเย็น  เมื่อจะปรากฏตัวจะมีพายุปั่นป่วน  ต้นไม้โยกไหวรุนแรง  อากาศพลันหนาวเย็นวิปริตขึ้นมาทันที
เรื่องเล่า  :
            จากเรื่องเล่าในหนังสือ  "ตามรอยพระอริยเจ้า  หลวงปู่แหวน  สุจิณโณ"  กล่าวไว้ว่า  มีเหตุการณ์น่าขนพองสยองเกล้าครั้งหนึ่ง  ในเช้าวันหนึ่ง  หลวงปู่แหวน  กับ  หลวงปู่ตื้อ  ได้อาศัยบิณฑบาตรหมู่บ้านชาวป่า  นานๆทีจะมีพระธุดงค์มาโปรดสักที
ชาวบ้านถามว่า  "พระคุณเจ้าทั้งสองจะไปไหน"
หลวงปู่บอกว่า  "จะมุ่งไปทางเทือกเขาที่มองเห็น  แล้วลองไปทางสุวรรณเขต"  ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับมุกดาหาร



            เมื่อชาวบ้านได้ยินดังนั้นก็เกิดอาการตกใจ  พร้อมทั้งทัดทานว่า  "อย่าไปทางโน้นเลย  เพราะกำลังมียักษ์ปีศาจดุร้ายสิงอยู่  คอยทำร้ายผู้ผ่านไปและทำร้ายสัตว์น้อยใหญ่"  หลวงปู่ทั้งสองกล่าวขอบใจในความหวังดี  และบอกว่า  ท่านทั้งสองได้มอบกายถวายชีวิตให้พระศาสนาแล้ว  ขออย่าได้ห่วงตัวท่านเลย  แล้วก็เดินธุดวค์ต่อไปข้ามลำน้ำไปยังเทือกเขานั้น  แต่เป็นที่น่าผิดสังเกตว่า  ป่าแถบนั้นเงียบกริบ  ไม่ได้ยินเสียงสัตว์ต่างๆเลย  นับว่าประหลาดมาก
            พอตกค่ำหลวงปู่ทั้งสองก็ปักกลดห่างกันประมาณ  10  เมตร  ข้างลำธารที่มีน้ำใสไหลผ่าน  อยู่ในเชิงเขาสูงลูกประหลาด  คือมีรูปลักษณะดูตะปุ่มตะป่ำ  คล้ายตัวคนบ้าง  หัวตะโหนกช้างบ้าง  ยอดเขาเป็นสีดำคล้ายถูกไฟเผา  แปลกประหลาดจากลูกอื่น  ทั้งสองต่างตระหนักในความประหลาดของสถานที่นั้น  แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่นั่งสงบอยู่ภายใจกลด  ประมาณ  5  ทุ่ม  หลวงปู่แหวนก็ออกจากกลดเตรียมจะเดินจงกรม  หลวงปู่ตื้อก็ออกตาม  และพูดว่า  "ท่าน  รู้สึกว่าที่นี่วิเวกผิดสังเกต"  หลวงปู่แหวนก็ตอบว่ารู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน...  แล้วก็เดินจงกรมต่อ  จากนั้นไม่นาน  ก็มีเสียงกรีดแหลมเยือกเย็น  ดังลงมาจากยอดเขารูปประหลาดนั้น  เสียงแหลมลึกบีบเค้นประสานจนรู้สึกเสียวลงไปถึงรากฟัน  พอหลวงปู่ตื้อได้ยิน  ก็หันไปถามว่า  "ท่านแหวนได้ยินเสียงแล้วใช่ไหม"  หลวงปู่แหวนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ  "กำลังฟังอยู่"  เสียงกรีดร้องนั้นดังเข้ามาใกล้ทุกที  ทุกที  ฟังแล้วน่าขนพองทีเดียว  ทั้งสององค์ยังคงเดินจงกรมอยู่อย่างเงียบๆ
            ครั้นซักพัก  ก็เกิดพายุปั่นป่วนมาอย่างกะทันหัน  ชนิดแบบไม่มีตั้งเค้ามาก่อน  ต้นไม้โยกไหวรุนแรง  ราวกับจะถอนรากออกมา  อากาศพลันหนาวเย็นวิปริตขึ้นมาทันที
            พลันปรากฏร่างประหลาดขึ้นร่างหนึ่ง  รูปร่างประหลาด  ตัวดำมะเมื่อม  สูงราว  7  ศอก  มีขนยาวรุงรังคล้ายลิงยักษ์  แต่หน้าคล้ายวัวควาย  ตาโปน  มือสองข้างยาวลากพื้นดิน    มันก้าวเข้ามาอยู่ห่างจากหลวงปู่ทั้งสองเพียง  10  เมตรเห็นจะได้  สัตว์ประหลาดนั้นส่งเสียงร้องโหยหวนขึ้น  พายุนั้นก็สงบลง  แสดงว่า  มันมีอำนาจเหนือกว่าธรรมชาติ  

            สัตว์ประหลาดนั้นส่งกลิ่นเหม็นรุนแรงคล้ายกลิ่นซากเน่าที่กำลังขึ้นอืด  มันกระทืบเท้าสนั่น  จนแผ่นดินสะเทือน  หลวงปู่ทั้งสองตั้งสติ  กำหนดจิตแผ่เมตตาไปยังร่างสัตว์ประหลาดนั้น  ร่างสัตว์ประหลาดยักษ์นั้นก็หยุดร้อง  หยุดส่งกลิ่นเหม็น  มันค่อยๆทรุดร่างลงนั่งยองๆ  เอามือยันพื้นไว้  ทำท่าแสดงความน้อบน้อมต่อหลวงปู่ทั้งสอง  หลวงปู่แหวนจึงได้กำหนดจิตถาม  ก็ได้รู้ว่า  เมื่อครั้งเป็นมนุษย์  เขาได้กระทำความผิดมากมายทั้งตัณหา  และความโลภ  คือละเมิดศีลข้อ  2 อทินฺนาทานา เวรมณี และข้อ  3 กาเมสุมิจฺฉาจารา เวรมณี  อยู่เสมอ  จึงต้องมาเป็นปีศาจอสุรกายรับทุกข์ทรมานอยู่ที่เขาแห่งนี้
            ปีศาจอสุรกายร้องไห้คร่ำครวญ  ขอความเมตตาจากพระคุณทั้งสอง  ให้ปลดปล่อยเขาได้พ้นทุกข์ทรมานในตอนนี้  หลวงปู่แหวนผู้มีศีลบริสุทธิ์จึงได้กำหนดจิตว่าพระคาถา  แล้วเทศนาให้เขาสำนึกบาปบุญคุณโทษ  เขาก็ค่อยๆคลายความกังวลลง  ก้มลงกราบด้วยความซาบซึ้ง  แล้วกล่าวว่า  "พระคุณเจ้า  ข้าพเจ้าได้กำหนดจิตพิจารณาตามกระแสธรรมของท่านแล้ว  เกิดแสงสว่างกับข้าพเจ้าอย่างน่ามหัศจรรย์  ข้าพเจ้าได้เห็นถึงสภาวธรรม  คือ  ชาติ  ชรา  มรณะ  อันเป็นทุกข์  เป็นธรรมดาของสรรพสัตว์ทั้งหลายแล้ว  พระคุณเจ้า"  สีหน้าของเขาก็ดูสดชื่นขึ้น  เขาก้มลงกราบพระคุณทั้งสององค์  แล้วร่างอสุรกายนั้นก็หายไป

ศีลห้าหรือเบญจศีลมีด้วยกัน 5 ข้อ ดังนี้

  1. ปาณาติปาตา เวรมณี (สิกฺขาปทํสมาทิยามิ) - เว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต รวมถึงการเบียดเบียน ข่มเหง รังแก ทำร้ายสัตว์ หรือมนุษย์  แม้แต่คิด หรือวางแผน ก็ถือว่าผิดศีลข้อนี้แล้ว
  2. อทินฺนาทานา เวรมณี (สิกฺขาปทํสมาทิยามิ) - เว้นจากการลักทรัพย์ โลภหยับเอาสิ่งของของผู้อื่นมาเป็นของตนเอง  ของที่เจ้าของไม่ได้ให้ รวมถึงการเบียดบัง ฉ้อราษฎร์บังหลวง เอาเปรียบคนอื่นด้วย แม้แต่คิด หรือวางแผน ก็ถือว่าผิดศีลข้อนี้แล้ว
  3. กาเมสุมิจฺฉาจารา เวรมณี (สิกฺขาปทํสมาทิยามิ) - เว้นจากการประพฤติผิดในกาม  ตัณหาทั้งหลาย ผิดลูกผิดเมียเขา ข้อนี้เพียงแค่คิดก็ผิดแล้ว
  4. มุสาวาทา เวรมณี (สิกฺขาปทํสมาทิยามิ) - เว้นจากการพูดเท็จ คำหยาบ หรือพูดส่อเสียด โกหก รวมถึงการพูดให้คนแตกสามัคคีกันด้วย
  5. สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา เวรมณี (สิกฺขาปทํสมาทิยามิ) - เว้นจากการดื่มของมึนเมา ดื่มสุรา อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น